ดาบ
ชินกุนโต
ชินกุนโต หรือ ที่เราๆเรียกกันว่า
ดาบ ทหารญี่ปุ่น บ้างก็ เรียกว่า ดาบ ซามูไร ไปนู่นเลย ไม่ว่าจะอย่างไร
ก่อนที่เราจะลงลึกถึงเรื่องราวของ ดาบ ชินกุนโต ที่ว่านี้
เรามาทำความเข้าใจพื้นฐานของดาบ ญี่ปุ่นกันก่อนนะครับ โดยจะใช้คำที่เข้าใจง่าย และ
หลีกเลี่ยงการใช้ ศัพทย์เฉพาะ ที่เข้าใจยาก และ ไม่จำเป็น นะครับ
เริ่มกันเลยก็แล้วกัน
ดาบญี่ปุ่นนั้น มียุคสมัยของตัวเอง โดย
แบ่ง ยุคใหญ่ๆได้ดังนี้
1. โกโต คือ
ดาบยุคแรกๆของญี่ปุ่น ตรงกับยุค เฮอัน ก็ราวๆ ปี คศ. 794-1185
เป็นช่วงที่นำวิธีตีดาบมาจากจีน และ อยู่ในช่วงลองผิดลองถูก เรื่อยมาจนถึง
ยุคคามคุระ(คศ.1333-1392) ที่ดาบญี่ปุ่นมีคุณภาพสูง มาจนถึง ยุค มูโรมาจิ
(คศ.1392-1568)จริงๆมีรายละเอียดปลีปย่อยมากกว่านี้ครับ แต่ ขออนุญาตข้ามไปนะครับเพราะจะยืดยาวเกินกว่าเรื่องที่เราจะโฟกัส
ในที่นี้
2. ชินโต คือ ดาบยุคที่
สอง ตรงกับ ยุคสมัย โมโมยามะ (คศ.1568-1603)
ยุคสมัยนี้ญี่ปุ่นอยู่ในภาวะสงครามที่เรียกว่า เซนโกกุจิได
(ก็ช่วงที่มีขุณศึกชื่อดังมากมายอย่าง โอดะโนบุนากะ ทาเคดะชินเง็น และ
คนอื่นๆทำสงครามกันนั่นแหละครับ)
ดาบญี่ปุ่นในช่วงนี้มีทั้งเรื่องดีๆและเรื่องไม่ดีเข้ามาในวงการช่างตีดาบ
กล่าวคือมีเรื่องดีๆอย่าง เทคโนโลยีใหม่จากต่างชาติเข้ามาพัฒนาวิธีตีดาบ และ
ด้วยความที่อยู่ในภาวะสงคราม จึงพิถีพิถันมากไม่ได้
จำเป็นต้องตีดาบออกมาทีละมากๆคุณภาพดาบของช่วงนี้จึงไม่แน่นอน คือ ที่ดีก็ดีไปเลย
แต่ ที่แย่ก็ไร้คุณภาพมากๆ แต่ เมื่อพ้นสมัย เซ็นโกกุฯ มาถึงช่วงเอโดะ
นั้นยุคของดาบก็ยังอยู่ในยุคของ ชินโต อยู่ และ
เริ่มมีดาบคุณภาพออกมามากขึ้นเนื่องจากยุคแห่งสงครามได้จบลงแล้ว และ
เป็นยุคแห่งความสงบสุข เวลาจึงมีมากขึ้นความพิถีพิถันจึงมีมากขึ้นเช่นกัน
ช่างตีดาบมีชื่อต่างๆก็เกิดขึ้นมากมาย ทั้งสายดั่งเดิม และ สายที่เกิดใหม่
3. เก็งไดโต คือ
ดาบยุคที่ตรงกับสมัย ปฏิวัติ เมจิ ถึงปัจจุบัน (ขออภัยผมจำปีคศ.ที่แน่นอนไม่ได้ ถ้าจำไม่ผิดก็สักประมาณแถวๆ
ช่วงปี คศ.1868 นี้) อาจเรียกแบบฝรั่งได้ว่า โมเดิลซอร์ด หรือ ดาบยุคใหม่
ดาบยุคนี้ คือดาบที่เราจะพูดถึงกัน และ มันก็แบ่งออกได้ 3 ยุคย่อยๆ คือ ดาบในช่วง
ปฏิวัติเมจิ ถึง สงครามโลกครั้งที่ 1 และ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ถึง
สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 มาจนถึง ดาบที่ตีใหม่ในปัจจุบัน ซึ่งในปัจจุบันนั้น
หากจะซื้อ และ มีดาบ(จริง)ในญี่ปุ่น จะต้องจดทะเบียนกับรัฐบาล
เราทำความรู้จักกับยุคของดาบกันไปแล้ว
ต่อไปจะเป็นอีกพื้นฐานของการเรียนรู้เรื่องดาบญี่ปุ่นก็คือ ประเภทของดาบ
ประเภทของดาบญี่ปุ่นนั้นแบ่งออกใหญ่ๆได้ 5 ประเภทคือ
1. คาตานะ คือดาบยาว
ปกติ จะยาวประมาณ 3 ฟุต ครึ่ง + -
2. วากิซาชิ
คือดาบขนาดกลาง ยาวประมาณ 2 ฟุต เศษๆ
3. ทันโต คือ ดาบสั้นที่สุด
ยาวประมาณ 1 ฟุต +
4. ตาชิ จะยาวประมาณ
คาตานะ แต่ จะมีหูหิ้ว และ มีวิธีการพกพาที่ต่างออกไป(จริงๆแล้ว
ชินกุนโตของเราก็จะอยู่ในดาบประเภทนี้)
5. ดาบโนดาจิ คือ
ดาบที่ยาวกว่า คาตานะมากๆ(ข้าม ดาบโอคาตะนะ ไปอีกขั้นหนึ่ง) ขนาดความยาวไม่แน่นอน
บางเล่มอาจยาวได้ถึง 3 เมตร
พื้นฐานต่อมา
ก็จะเป็น ประเภทของ วิธีการตีดาบ ตรงนี้เราจะลงลึกกันเสียหน่อย เพราะจะเป็นประโยชน์ในเรื่องที่เราจะเจอะลึกต่อไป
ขั้นตอนการตีดาบนั้นจริงๆแล้วมีการใช้ศัพทย์เฉพาะมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ ง่ายต่อความสับสน
แต่ ไม่ต้องกังวลไปครับ ผมจะใช้คำที่มีความหมายแบบไทยๆให้เข้าใจได้ง่ายๆนะครับ การตีดาบแบบญี่ปุ่นมีหลายขั้นตอนครับ อาจ
เป็นวิธีตีดาบที่มีขั้นตอนมากที่สุดในโลกเลยก็ได้ มันพัฒนามาจาก
วิธีการสร้างดาบของจีน ที่คนญี่ปุ่นยุคแรก นำติดตัวมา และ
พัฒนาต่อๆมาโดยการลองผิดลองถูก และ ความช่างสังเกตุของช่างตีดาบในแต่ละยุค
จนได้วิธต่างๆเหล่านี้
1. แบบที่ 1
การขึ้นรูปดาบจากเหล็กแท่งเดียว มันเป็นวิธีแรกในการตีดาบ คือ การนำเอาชิ้นเหล็กที่เตรียมไว้มาหลอมให้เป็นแท่ง
จากนั้นก็ทำการตีขึ้นรูปที่ต้องการด้วยการเผาให้เหล็กนิ่ม และ
ตีจนกว่าจะได้รูปทรงที่ต้องการ แล้วทำการชุบแข็งด้วยการเผาให้ได้อุณหภูมิที่ต้องการ(รักษาให้ได้ตามสูตรไม่ร้อนมาก
เกินไป) แล้วจุ่มลงน้ำที่เตรียมไว้เพื่อสร้างความแข็งแรง (ด้วยการเรียงตัวของผลึกเหล็ก
ที่มีคาร์บอนมาเป็นปัจจัยตามสูตรทางเคมี
ซึ่งตอนนั้นไม่รู้กันหรอกว่ามีอะไรที่เรียกว่าคาร์บอนนี้อยู่ด้วย) ดาบแบบนี้จะได้ความแข็ง
หรือ ไม่ก็นิ่ม เกินไป กล่าวคือ ถ้าแข็ง ก็จะเปราะ เมื่อโดนแรงสูงๆ ดาบจะ คมแตก
หรือหักไป หรือ ไม่ก็ นิ่มจนดาบงอตัวได้ง่าย และ ไม่รักษาความคม และ
เมื่อโดนแรงสูงๆ แม้ไม่หัก แต่ คมจะบิ่น และ ยู่ไป
2. แบบที่ 2
ทุกอย่างเหมือนวิธีแรก แต่ จะเพิ่มการทำ ฮามอน เข้าไป ฮามอน
คือลายคลื่นที่เรามักเห็นบริเวณคมดาบ มันเกิดจากการเรียงตัวของผลึกเหล็กที่ต่างกัน
โดยมีปัจจัยที่เกียวกับอุณหภูมิที่ต่างกันของเหล็ก ในขั้นตอนของการเผาครั้งสุดท้าย
และ การเย็นตัวที่ไม่เท่ากันของเหล็กเมื่อทำการชุบแข็ง โดยช่างฯจะนำ โคลนที่สีส่วนผสมอื่นๆ(มีสูตรผสมของช่างแต่ละคน)
มาพอกตัวดาบ เมื่อขึ้นรูปได้ที่ต้องการแล้ว จะพอก (ผสมน้ำให้เหลวๆข้นๆแล้ว
ทาเหมือนปาดสีโป๊ว์รถนะครับไม่ใช่ปั้นดินพอกเอา)
ในส่วนของใบดาบโดยให้หนาในส่วนของทางสันดาบ และ บางลง
จนถึงไม่มีการพอกเลยในส่วนของคมดาบ (อาจมีการเล่นลวดลายโดยช่างแต่ละคนซึ่งจะมีวิธีที่แตกย่อยมากมายจนจะเกินไปสำหรับพื้นฐานที่เราจะทำความเข้าใจ)
จากนั้นก็นำไปเผาจนได้ที่(สมัยก่อนไม่มีการวัดอุณหภูมิ แต่
จะวัดกันโดยดูที่สีของเหล็ก โดยใช้สีของดวงจันทร์สีแดงเป็นเครื่องมือวัด)
เมื่อได้ที่แล้วจึงนำมาชุปกับน้ำเหมือนกับวิธีแรก
3. แบบที่ 3 ผมเรียกง่ายๆว่า
แบบ ตีพับ การตีดาบแบบนี้ ไม่มีอะไรมากครับ
โดยก่อนที่จะทำทุกอย่างเหมือนขั้นตอนที่ 2
ช่างจะทำการตีขึ้นรูปเหล็กให้เป็นแท่งตรงๆยาวประมาณ เกือบๆ 1 ฟุต แล้วทำการตีบากเป็นระยะๆแบ่งเป็น
3 ท่อน แล้ว พับรวมเข้าเป็นก้อนสั้นๆ อีกทีจะซ้ำกี่ทบก็แล้วแต่ ความต้องการ
บางครั้งอาจถึง หมื่นๆชั้นเลยทีเดียว (อย่าเพิ่งตกใจครับลองคิดดูดีๆครับ ทบทีละ3 ชั้นมันก็ยกกำลังไปเรื่อยๆไง
ครับทบไปไม่เท่าไหร่ก็ เป็นพันชั้นแล้ว) จากนั้นก็ตีขึ้นรูป และ ทำ ฮามอน เหมือน
แบบที่ 2 ตรงนี้จะมีการแยกไปครับ บางครั้งจะจบที่ชุบแข็งเลย ไม่ทำ ฮามอน
อันนี้แล้วแต่ความเร่งรีบในการผลิต หากช่วงสงคราม บางครั้งจะไม่ทำ ฮามอน
เราจะเห็นได้ในดาบที่อยู่ในช่วงสงคราม ไม่ว่าจะเป็น สงครามโลก หรือ สงคราม
เซ็นโกกุฯ หรือ พบได้ในดาบที่จ่ายให้ทหารในยุคต่างๆ ที่ต้องผลิตเป็นจำนวนมาก และ
ไม่ต้องการความสวยงาม และ แข็งแรงอะไรมากนักหากเทียบกับวิธีตีดาบแบบอื่นๆของญี่ปุ่น
แต่ ก็สามารถใช้งานได้ดี และ เทียบชั้นได้กับดาบของชาติ อื่นๆในโลก เช่น
ดาบมองโกล ดาบจีน ดาบ ดามัสกัส
ดาบยุโรป(ได้ความใหญ่ และ หนักมาเป็นข้อได้เปรียบ) อีกทั้งยังมีคุณภาพสูงกว่า
ดาบชาติอื่นๆอีกหลายแบบ
4. แบบที่ 4 ผมเรียกให้เข้าใจง่ายๆว่า
แบบ สองชิ้น หรือ แบบ สอดใส้ คือ การเริ่มด้วยการ ตีพับ อย่างแบบที่ 3 จะกี่ทบก็แล้วแต่
โดยทำไว้ 2 แท่ง ให้แท่งแรกใหญ่กว่าแท่งที่สอง เล้กน้อย แล้ว เอาแท่งแรกมาตีแผ่ออก
จากนั้นจึงตีขึ้นรูปให้โค้งแบบท้องเรือ เพื่อให้นำเหล็กแท่งที่สอง
ที่เล็กกว่าเข้ามาสอดเข้าไปได้ จากนั้นก็ตีขึ้นรูปและทำกรรมวิธีการตี และ
ชุบแข็งเหมือนกับแบบที่ผ่านๆมา สิ่งที่ได้ก็คือ ดาบที่มีความแกร่งเพิ่มขึ้น
โดยมีใส้ในที่เหนียว จากการค่อยๆเย็นตัวอย่างช้าๆถายใน (แต่เหล็กจะนิ่ม
ซึ่งก็ไม่เป็นไร เพราะถูกหอด้วยเหล็กแกร่งด้านนอก) และ
ส่วนนอกที่หุ้มอยู่ที่จะแกร่ง ด้วยวิธีการชุปแข็ง ที่จะทำให้ดาบเย็นตัวเร็วกว่า
โดยอยู่ในความควบคุมของช่างฯ บวกกับการทำ ฮามอน
ที่จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพของความแกร่งของดาบให้มากขึ้น ดาบแบบนี้จะเริ่ม
เหนือกว่าดาบอื่นๆที่มีในโลก แล้ว ครับ ดาบที่จะเทียบเคียงได้ ก็จะมี ดาบ จีน
แบบที่มีใบฯใหญ่ๆโค้งๆ ที่ไม่ใช่กระบี่ ที่ใบดาบตรงๆ เพราะดาบจีนนั้นมีวิธีการตี
ทบ และ สอดใส้ เหมือนกัน แต่ การทำ ฮามอน นั้นจะไม่มี
ซึ่งเป็นความเสียเปรียบของดาบจีน แต่ได้ความใหญ่กว่าของใบดาบ มาทดแทน ความเสียเปรียบ
5. แบบที่ 5 คือ
เรียกง่ายๆว่า แบบ 3 ชิ้น หรือ หลายชิ้น คือการ ขึ้นรูปเหล็ก ไว้อย่างน้อย 3 ชิ้น หรือ
หลายชิ้น (ผมนับได้ 4 ชิ้นทุกทีแหละ หรือเขารวมชิ้นซ้าย-ขวาเป็น1ชิ้น)โดยชิ้นที่เป็นแกนใน
จะเป็น เหล็กที่ต้องการให้เหนียว (อาศัยขั้นตอนของรูปแบบที่ผ่านๆมาทำความเข้าใจนะครับ)
และ ชิ้นที่จะเป็นส่วนของคมดาบจะเป็นเหล็กที่ต้องการให้ มีความสมดุลย์ทั้งความแข็ง
และ ความเหนียว และ ส่วน แก้ม ซ้าย – ขวา
เป็นส่วนที่ต้องการให้เหนียว และ แข็ง ในอีกระดับ (จะแข็งน้อย และ
เหนียวมากกว่าส่วนของชิ้นที่จะเป็นคม แต่ จะเหนียวน้อยกว่า แต่ แข็งกว่า ในส่วนที่เป็นแกน)
เอาเหล็ก ประเภทต่างๆนี้มาเผารวมให้ติดกันเป็นชิ้นเดียว ด้วยความร้อนที่ควบคุม (ถ้าร้อนไปเหล็กจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน
และ คืนตัวไม่รักษาความแกร่ง และ ความเหนียวที่ทำไว้ ถ้าเย็นไป
เหล็กจะไม่เกาะรวมตัวกัน) จากนั้นก็ตีขึ้นรูปตามกรรมวิธีเหมือนที่กล่าวมาแล้วในแบบต่างๆข้างบน
ก่อนจะนำไปลับ และ ทำการประกอบให้เป็นดาบ อย่างที่เราเห็นกัน
จริงๆแล้วอาจมีการเพิ่มชิ้นของเหล็กอีกมากกว่านี้ ในจุดต่างๆ
ซึ่งเป็นวิธีที่แตกย่อยไปได้อีกหลายแบบแล้วแต่ สูตรของช่างฯในแต่ละสำนัก แต่
ต้องขอข้ามไปเพราะในพื้นฐานแล้วเป็นวิธีเดียวกัน คือ การแยกชิ้น
การตีดาบในแบบนี้เป็น รูปแบบที่ ผลิต ยาก และ เสียเวลามากที่สุด
เพราะมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และ ซับซ้อน แต่ ก็เป็นวิธีตีดาบที่สามารถสร้าง
สุดยอดอาวุธมีคมที่เรียกว่า ดาบ ให้ ดาบญี่ปุ่นนั้นมีความเหนือกว่าดาบทุกชนิดบนโลก
เลยก็ว่าได้ เพราะยังไม่มีกรรมวิธีการตีดาบแบบใดในโลกจะสร้างดาบที่มีความ แกร่ง
และ ยืดหยุ่นได้ ในเล่มเดียวกัน เท่ากับวิธีนี้อีกแล้ว นอกจากกรรมวิธีการ อบ เหล็ก
และ ควบคุม คาร์บอน โดยใช้เครื่องมือทางเคมี และ
เครื่องมือควบคุมอุณหภูมิที่สามารถบอกและควบคุมได้ในระดับตัวเลข
ในปัจจุบันเท่านั้นที่จะสามารถเทียบเคียงได้ (เอาง่ายๆนะครับ ดาบของโดลท์สตีล
ไงครับ หลายคนคนมองข้ามนะเพราะไม่มีฮามอน แต่ แกร่งกว่าแบบแรกๆเสียอีกครับ
ด้วยกรรมวิธีสมัยใหม่)
ดาบทหาร
หรือ กุนโต
เอาละครับ เมื่อเรารู้เรื่องพื้นฐานของดาบญี่ปุ่น
ที่จะเป็นประโยชน์กับเราในการศึกษา และ ดู ดาบชินกุนโต ที่เราจะเจอะลึกในต่อไปนี้
ผมจะขอข้ามในส่วนของดาบ ในยุค ซามูไรไปเลยนะครับ เพราะนั่นมันคนละสายกัน เราจะเริ่มกันที่ ช่วง ปฏิวัติ เมจิ กันเลยก็แล้วกัน
ช่วงนี้เป็นช่วงคาบเกี่ยวกันระหว่าง ยุคใหม่ กับ ยุคดั่งเดิมคือ วิถีซามูไร และ
บูชิโด ความสำคัญของดาบเริ่มลดลง อาวุธที่ทันสมัยกว่าเช่น ปืน เริ่มเข้ามา
วัฒนธรรมต่างชาติ และ แนวคิดจากต่างชาติเริ่มมีผลต่อ ชีวิตของชาวญี่ปุ่นมากขึ้น
กองทัพก็เช่นกัน จากกองทัพซามูไร ที่ใช้ดาบ และ อาวุธมีคม เป็นอาวุธหลัก มาสู่
ความเปลี่ยนแปลง ด้านอาวุธ โดยมีปืน เข้ามาแทนที่ ของมีคม เช่น หอก และ ดาบ แต่
ปืนไรเฟิลในยุคแรกๆ แม้จะมีความเชื่อถือได้สูงกว่าปืนไฟ และ ปืนคาบชุด ในสมัยโบราณ
แต่ การยิงต่อเนื่องก็ยังทำได้ไม่ค่อยดีนัก
อีกทั้งไม่มีความคล่องตัวในการรบในระยะประชิด แม้จะมีดาบปลายปืนแล้วก็ตาม ดังนั้น
ความสำคัญของดาบจึงยังมีอยู่ในยุคนี้ แต่ เนื่องจาก
วัฒนธรรมแบบตะวันตกเข้ามามีผลต่อความคิดของ เหล่านายทหารในกองทัพใหม่ และ
สงครามกับ ซามูไรที่เพิ่งผ่านมา ทำให้แนวคิดแบบซามูไร ที่มีดาบ คาตานะ
เป็นสัญญาลักษณ์ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างถูกต่อต้านดังนั้นรูปแบบของ
ดาบในช่วงเวลานี้ มีรูปแบบ และ ภาพลักษณ์ เป็น ลักษณะของ ดาบฝรั่ง ที่เรียกกันว่า กระบี่ หรือ เซเบอร์ และ
มีการใช้เครื่องจักรในการผลิตดาบ แทนฝีมือ มนุษย์
(เราต้องเข้าใจความคิดของคนยุคนั้นด้วย
ว่าตอนนั้นเครื่องจักรเพิ่งจะมีเข้ามาในญี่ปุ่น ยังเป็นของใหม่ดังนั้นย่อมมีความนิยมมากกว่าการผลิตด้วยแรงงาน
และ ฝีมือของคนที่เป็นอะไรที่ เก่า เดิมๆ ที่ทุกคนชินชาแล้ว)
นายทหารยุคใหม่หลายๆคนจึง ติดดาบ แบบ ฝรั่ง อย่างที่ว่านี้ เรียกดาบแบบนี้ว่า
คิวกุนโต (ออกเสียงว่า คิ-ยุ-อุ – กุ-อึน - โตะ-โอ
ลากเสียงเชื่อมต่อกัน) แปลว่า ดาบ ทหารม้า ครับ (ฝรั่งเรียก โปรโต อาร์มี่ ซอร์ด)
แม้จะเปลี่ยนมาเป็นกองทัพยุคใหม่แล้ว แต่ ก็ยังมี นายทหารหลายคนที่เดิมเป็น ซามูไร
มาก่อน แต่ มีหัวก้าวหน้า เปลี่ยนตัวเองมาเข้ากองทัพใหม่นี้ นายทหารเหล่านี้นี่เอง
ที่ใช้ดาบที่เคยใช้เมื่อยังเป็น ซามูไร มาเข้าฝัก และ ด้ามใหม่
(ในบางครั้งสั่งทำด้าม และ
ฝักขึ้นใหม่ให้เข้ากับดาบเก่าโดยเฉพาะ)ในรูปแบบของดาบทหารยุคใหม่ หรือ กุนโต และ
คิวกุนโต ซึ่งรูปแบบจะเป็นลักษณะของดาบทหารม้า หรือ เซเบอร์ อย่างที่เรารู้จักกัน
ดาบในรูปแบบนี้จะใช้กันทั้ง ทหาร บก (ทหารราบ) ทหารม้า และ ทหารเรือ โดยจะมีรูปแบบ
และ รายละเอียดที่ต่างกันไป เล็กน้อย
ซึ่งตรงนี้ขอข้ามไปเพราะเดี๋ยวจะยาวเกินไปครับ
ดาบ ชินกุนโต
เอาละครับเมื่อพื้นแน่นแล้ว
คราวนี้ก้ได้เวลาเข้าเรื่องกันจริงๆสักที กองทัพสมัยใหม่เมื่อครั้ง สมัย
ปฏิวัติเมจิ พัฒนาตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ ความนิยมในตะวันตก เริ่มลดลงหากเทียบกับตอนแรกๆที่ตื่นเต้นฮือฮากับ
ชาติตะวันตกไปเสียทุกอย่าง ด้วยสาเหตุหลายอย่างไม่ว่าจะ
ความสามารถในการพัฒนาตัวเองของญี่ปุ่น และ การเอาเปรียบของชาติตะวันตก
ทำให้แนวคิดนิยมตะวันตก เริ่มลดลง ความเป็นชาตินิยมเริ่มสูงขึ้น ประกอบกับ เวลาที่ยาวนานหลังจากการขัดแย้งกันเอง
ระหว่าง ซามูไร กับกองทัพยุคใหม่ ทำให้บาดแผลในใจ และ ความต่อต้าน
วัฒนธรรมซามูไรลดลง และ หายไปในที่สุด ญี่ปุ่น เริ่มพึ่งพาตัวเอง และ
เริ่มคิดขยายดินแดนโดยการล่า อาณานิคม อย่างประเทศตะวันตก
ญี่ปุ่นต้องอาศัยความชาตินิยม (ไปจนถึงความคลั่งชาติ) เป็นนโยบายในการ ล่าอาณานิคม
ความชาตินิยมเริ่มครอบคลุมไปในทุกอย่างของญี่ปุ่น แน่นอนวงการทหารก็ไม่พ้น
ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติเรื่องเครื่องแบบ และ เครื่องหมาย ยศ รวมทั้ง วัสดุอุปกรณ์
ต่างๆ ที่แสดงความเป็นญี่ปุ่นมากขึ้น ไม่ผิดครับ ดาบ ประจำตัวนายทหาร ก็ไม่พ้น
โดยหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่นาน
กองทัพญี่ปุ่นก็เริ่มมีดาบรูปทรง แบบ เดียวกับ คาตานะ จริงๆ แล้วควรเรียกว่า
รูปแบบ ตาชิ มากกว่า เอาละไม่ว่าจะเรียกว่าอย่างไร รูปร่างลักษณะ ของดาบก็มีรูปลักษณ์
เหมือนกับดาบ ของ ซามูไร ในยุคก่อน ดาบรูปแบบนี้เองที่เรียกว่า ชินกุนโต (ออกเสียง
ชิ-อึน-กุ-อึน-โตะ-โอ) แปลว่า ดาบ กองทัพ ใหม่ ลักษณะของ ชินกุนโต นี้
รูปลักษณ์จะกลับไปเป็นดาบ ที่หน้าตาเหมือน ดาบ ตาชิ ของซามูไรสมัยก่อน
โดยมี่ห่วงสำหรับเกี่ยวห้อย ที่ฝักดาบ โดยแบบแรกๆจะมี สอง ห่วง และ
ลดลงเหลือหูหิ้วเดียวในรุ่นหลัง แต่ ก็อาจจะมี 2 ห่วงให้เห็นอยู่บ้าง ในรุ่นหลังๆ
แต่ ก็มีไม่มากนัก ตัวใบดาบก็เป็รทรงเดียวกับ ดาบ ของซามูไร ในช่วงแรกๆ ของดาบ
ชินกุนโต นั้น ใบดาบจะกลับมาผลิตด้วย มือ อีกครั้ง
นั่นหมายความว่าจากการที่ดาบทหารผลิตด้วยเครื่องจักรในยุค แรก ก็มาเป็นใบดาบที่เป็น
ใบดาบที่ตี ด้วยมือคน อีกครั้ง แต่ ก็ยังมีที่ผลิตด้วยเครื่องจักรอยู่เหมือนกัน
เมื่อญี่ปุ่นมีความต้องการขยายอำนาจทางทหาร
เพื่อนโยบายขยายดินแดน และ แสวงหาทรัพยากร การขยายตัวของกองทัพเพิ่มขึ้น การรับสมัครทหาร
การผลิตนายทหารของโรงเรียนทหารต่างก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
เมื่อนายทหารจบฯออกมาก็ต้องมีดาบ (เหมือน รับกระบี่ของนายร้อยไทยนั่นแหละครับ)
การตีดาบด้วยมือคน ให้ได้จำนวนมากมายขนาดนั้นในเวลาน้อยๆย่อมเป็นไปไม่ได้
(ดูเอาจากวิธีตีดาบ ข้างบนนะครับ) ทางออกที่ดีที่สุดคือ กลับไปใช้เครื่องจักร
อีกครั้งเพื่อผลิตดาบออกมาให้เท่ากับจำนวน นายทหารใหม่ที่จะจบฯออกมา แต่
ก็ยังมีดาบ ชินกุนโต ที่เป็นดาบตีด้วยมือจากช่างฝีมือดี และ โด่งดัง
ของยุคสมัยนั้น โดยดาบที่ว่านี้จะมอบให้ นายทหารใหม่ที่เป็นคนพิเศษ เช่น
ทำคะแนนได้สูงๆ หรือ เป็นนักเรียนนายร้อย ที่เรียนได้คะแนนสูงที่สุดของ ชั้น และ
รุ่น ไปจนถึง เชื้อพระวงษ์ที่จบฯจากโรงเรียนทหารนั้นๆ
รวมทั้งที่จบฯเมื่องน้อมาด้วย ดาบฯพวกนี้จะถูกตีโดยช่างฝีมือดี มีกรรมวิธีตี ต่างกันออกไป
แล้วแต่ระดับ ความสามารถ และ อภิสิทธิ์ ของนายทหารจบฯใหม่เหล่านั้น ตั้งแต่ ระดับ
เหล็กพับ ไปจนถึง ระดับ เหล็ก 3 ชิ้น (ย้อนกลับไปดูที่วิธีตีดาบ) แต่
รูปแบบภายนอกของดาบฯจะยังคงเหมือนๆกัน แล้วแต่ ปี ของแบบ ที่ดาบฯเล่มนั้นถูกผลิตออกมา
แบ่งใหญ่ๆได้ 3 แบบ คือ ชินกุนโตไทป์ 94 ชินกุนโตไทป์ 95 และ ชินกุนโตไทป์ 98 ซึ่งจะเหมือนกับ
ไทป์ 94 ทุกประการ แต่ ด้ามจะเป็นรูปแบบที่ตรงกว่า (ผลิตง่ายกว่า)โดย ไทป์ 95
จะพิเศษกว่า 2 แบบที่เหลือ คือ จะเป็น ดาบฯของทหารชั้นประทวน ตั้งแต่ สิบตรี
ขึ้นไป ถึง จ่าสิบเอก และ นายดาบ ดาบฯแบบนี้ทั้งหมด ผลิตด้วยเครื่องจักร
ไม่ว่าจะเป็นใบดาบ ฝักดาบ และ ด้ามจับ ด้ามจับของ ไทป์ 95
นี้ก็จะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง คือ เป็น โลหะ (ทองแดงในยุคแรก และ
อลูมินั่มในยุคต่อมา) แล้วหล่อออกมาชิ้นเดียว โดย
ทำลวดลายนูนสูงให้เหมือนไหมพันด้ามดาบ ให้ดูเดมือนดาบซามูไรจริงๆ เท่านั้น
ใบดาบผลิตด้วยเครื่องจักร โดยการ ปั๊ม แผ่นเหล็กให้เป็นรูปใบดาบตาม แพทเทิร์น
ของแม่พิมพ์ และ จะปั๊ม หมายเลข สายการผลิตไว้ที่โคนของใบดาบก่อนที่จะถึงโล่มือ
เป็นเลข อาราบิค ซึ่งหมายเลขที่ว่านี้จะไปตรงกับที่ ปั๊ม
ไว้ที่ปลายหางปลาของฝักดาบ และ ขอบบนสุดของฝักดาบ
ในช่วงก่อนญี่ปุ่นจะเข้าสงครามโลกครั้งที่
2 อย่างเต็มตัวความเร่งรีบในการผลิต และ สะสมอาวุธก็มากขึ้น แต่
ก็ยังมีเวลาในการผลิตดาบ คุณภาพดีๆอยู่บ้าง แม้จะน้อยลงไปบ้างก็ตาม ทาง กองทัพจึง
ให้ โรงตีดาบต่างๆทั้งที่เกิดใหม่ และ ที่มีชื่อเสียงตั้งแต่โบราณ เข้ามารับงานไป
ทำ เพื่อตี ใบดาบ ส่งให้กองทัพ โดยกองทัพจะกำหนด ขนาด และ รูปแบบ ปลีกย่อย
ให้เป็นไปในแบบเดียวกัน บ้างก็ตีแค่ใบดาบ บ้าง ก็ผลิตดาบทั้งหมด ทุกขั้นตอน
บางโรงงานไม่ใช่โรงตีดาบ แต่ ผลิต อุปกรณ์ และ ของตกแต่งของดาบ เช่นฝักดาบ ด้ามดาบ
โล่มือ(ซึบะ) และ ของตกแต่งที่ตรงตามระเบียบ เพื่อส่งให้กองทัพ นำไปประกอบเป็นดาบที่สมบูรณ์
ตรงนี้เอง ที่ ดาบชินกุนโต จะมีทั้ง ดาบ ตี และ ดาบที่ผลิตด้วยเครื่องจักร
ดาบฯที่ผลิตด้วยเครื่องจักร จะไม่มีอะไรมากไปกว่าการ
ตัดเหล็กคาร์บอนสูงให้เป็นรูปร่างดาบ แล้ว
เอาเข้าเครื่องปั๊มเหล็กให้ออกมาเป็นรูปทรงใบดาบ จากนั้นก็เอาไปให้ช่างลับคม
ซึ่งก็จะลับด้วยเครื่องจักรเช่นเดียวกัน คุณภาพ และ ความคมจึงไม่มากไปกว่า
ดาบปลายปืนที่จ่ายทหารทั่วไป ส่วนดาบฯ ตี ก็จะมีคุณภาพต่างกันไป
ด้วยเหตุที่มีหลายโรงตีดาบเข้ามารับงานฯ ซึ่งมีทั้ง สำนักที่มีชื่อเสียง และ
สำนักเกิดใหม่ และ ที่เป็นโรงเรียนตีดาบก็มี คุณภาพของดาบจึงต่างกันไป ตาม
แหล่งที่มา เพราะช่างที่ผลิตดาบ นั้นมีทั้งช่างฯฝีมือดีชั้นครู ไปถึง
ช่างฯที่ฝีมือไม่ดีนัก รวมทั้ง มีพวก ช่างไร้ฝีมือ อย่างผู้ฝึกหัดตีดาบ
รวมอยู่ด้วย ดาบพวกนี้จะถูกนำไปคัด และ จำแนกประเภท ก่อนจะมอบให้นายทหารจบฯใหม่
ที่รอรับดาบฯ ต่อไป ตาม ความสามารถ และ อภิสิทธิ์ ดั่งที่ได้กล่าวมา อีกทั้งสต๊อกไว้จำหน่ายให้กับนายทหารที่ต้องการเปลี่ยนดาบเล่มใหม่อีกด้วย
ดาบ ชินกุนโต ในช่วงนี้จึง ยังเป็นดาบฯที่ยังมีคุณภาพอยู่
ถ้าไม่นับดาบที่ผลิตด้วยเครื่องจักร
เมื่อนักเรียนนายร้อย ที่จบฯ ออกมาเข้าประจำการเป็นนายทหารในกองทัพ
และ ได้รับ ดาบ ชินกุนโต เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะได้รับดาบในประเภทใด จะเป็นดาบ
โรงงาน หรือ ดาบตี ความรู้สึกของคน ยังไงก็อยากได้ของดีที่สุด เท่าที่จะหาได้
อยู่แล้วถูกไหมครับ กรณีที่นายทหารคนนั้นได้ดาบฯ ที่ผลิตด้วยเครื่องจักร
ที่เป็นระดับ นายร้อยธรรมดาๆ (อาจเพราะแอบหลับบ่อยเวลาเรียนคะแนนเลยดีนัก) แต่
ที่บ้านเป็น ซามูไรเก่า ก็เหมือนตอน เมจิ นั่นละครับ เอาดาบของตระกูลมาเข้าฝัก และ
ด้ามแบบ ชินกุนโต แต่ ถ้าด้าม และ ฝักไม่พอดีกับใบดาบเก่าที่มีอยู่
ก็สั่งทำฝักและด้ามใหม่ให้พอดีเลย กลายเป็นดาบฯเล่มใหม่ไป หรือ ถ้ามีเงินมีทองพอ
ก็สั่งตีดาบเองเลย บ้างก็เอาด้าม และ ฝัก ของดาบฯ ที่ได้รับมาไปเข้า
บ้างก็สั่งตีขึ้นมาอีกเล่มเลย คราวนี้ก็อยู่ที่เงิน และ
การเข้าถึงของแต่ละคนแล้วละครับ ว่าจะเป็น ดาบ ที่ใช้วิธีตีแบบไหน บ้างก็เป็นดาบตี
แบบธรรมดาๆ (แบบที่ 1-2) บ้างก็ดีขึ้นมาหน่อย (แบบที่ 3) บ้างก็แบบดีๆไปเลย
(แบบที่ 4-5) เราจึงเห็น ใบดาบ ของ ดาบชินกุนโต ที่บ้างก็มีฮามอนสวยงาม
รอยเหล็กพับทบขึ้นเป็นชั้นอย่างละเอียด สันกลางใบ และ
ร่องเลือดโค้งตรงขนาดไปกับความโค้งของดาบอย่างสวยงามไร้ที่ติหัวดาบที่เรียวแหลม
มีสันเล็กๆที่โคนของจุดบรรณจบ หรือ ดาบที่มีรอยพับทบเป็นชั้น แต่ ไม่มีฮามอน แต่
งานยังคงสวยงามอยู่ ไปจนถึง ดาบที่ สันกลางใบ และ
ร่องเลือดคดๆงอๆไม่ขนาดไปกับความโค้งของดาบดีนัก สันที่จุดบรรจบหัวดาบก็ไม่ชัดเจน
อะไรทำนองนี้ นั่นก็เป็นเพราะสาเหตุที่ว่ามานี้นั้นเอง ฝักและด้ามดาบก็เช่นกัน
หากใครเคยเห็น ดาบ ชินกุนโต ที่กองรวมกันเป็น ร้อยๆ เล่ม
ที่นายทหารญี่ปุ่นวางอาวุธยอมแพ้ตอน จบสงครามฯ
จะเห็นขอ้แต่ต่างของดาบแต่ละเล่มได้เลยครับ แม้จะไม่ชัดเจนนัก บางเล่ม ตรงกว่า
หากเทียบกับเล่มอื่นๆ บางเล่ม ยาวกว่า และ สั้นกว่า บางเล่ม ด้ามสั้นกว่า บางเล่ม
ฝักสีน้ำตาล อ่อน – เข้ม บางเล่มฝักสีเขียว บางเล่ม มีห่วง
2 อัน เหมือนแบบเก่า แต่ เป็น ไทป์ 98 ซึ่งเป็นแบบสุดท้าย บางเล่ม
ไหมพันด้ามสีน้ำตาล อ่อน – แก่ บางเล่ม ไหมสีดำ บางเล่มเป็น ดาบสั้น วากิซาชิ
ไปเลยก็มี โล่มือ หรือ ซึบะ ก็ต่างกันครับ บางเล่ม เป็นทองเหลือง มีลวดลาย
(แพทเทิร์นตามระเบียบ) แบบโปร่ง บางเล่ม เป็น แบบ ทึบลายนูนต่ำ บางเล่ม เป็น
แผ่นเหล็กกลมๆสีดำๆ นั้นก็เป็น เพราะมาจากคนละโรงตีดาบ หรือ โรงงานผลิต และ
ราคาของ ของตกแต่งเหล่านั้น รวมถึงวัสดุอีกด้วย (ทองคำจริงๆก็มีนะ) เหมือน ใบดาบ ฝัก และ ด้าม ครับ แต่ รูปแบบ
แพทเทิร์นจะเหมือนกันคือ มีแพทเทิร์นของลวดลาย และ
อุปกรณ์ตกแต่งที่เป็นไปตามระเบียบ ครับ!ที่พูดถึงอยู่นี้คือช่วงก่อนสงคราม
ดังนั้นเวลาจึงมีเหลือเฟือ ที่จะประดิฐประดอย และ คัดเลือกวัสดุ เพราะเป็น
ออร์เดอร์ ที่สั่งตีกันเองของแต่ละคนจึงไม่ต้องรีบร้อนทำตามสัญญาจ้างของกองทัพ
ที่สั่งทำเป็นจำนวนมากๆ
เมื่อญี่ปุ่น เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่
2 อย่างเต็มตัว หลัง ปี 1941 แม้จะเป็นช่วงสงคราม แต่ ก็ยังเป็นช่วงแรกๆอยู่
ยังมีเวลาพอที่จะ สร้าง ดาบ คุณภาพขึ้นมาได้ ดังนั้น ดาบชินกุนโต ในช่วงนี้
ยังเป็นไปตามอย่างที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น
จะมีอุปกรณ์บางอย่างที่เพิ่มขึ้นมาอีกก็คือ หนัง ที่ใช้หุ้มฝักดาบ
เนื่องนายทหารที่ต้อง เข้าไปรบในป่า หรือ ในพื้นที่ธุรกันดาร ทำให้ดาบฯที่พกพาไป
(แสนจะเกะกะ) โดนกระแทก ขูดขีด ทำให้เป็นรอย และ เกิดความเสียหาย
รวมทั้งเลอะเประเปื้อนฝุ่น หรือ โคลน ทำให้ ต้องเอาหนังมาหุ้มทั้งฝัก และ ด้ามจับ
เพื่อป้องกันการเกิดร่องรอย และ ความเสียหายของดาบ อีกทั้งเป็นการ ซ่อนพราง ความ
แวว วาว ของอุปกรณ์ตกแต่ง ที่ทำจากทองเหลือง แวว วาว
ไม่ให้ถูกตรวจพบจากข้าศึกอีกด้วย (เอาดาบเก็บไว้ในค่ายง่ายกว่ามั๊ย? พ่อดอกมะลิ)
และ ช่วง 1942-3 นี้เองที่มีการ ทาสี น้ำตาลเข้ม และ สี ดิน
ทับจุดที่เป็นทองเหลืองต่างๆ ทั้งดาบฯ ของนายทหาร และ ดาบ ทหารชั้นประทวน อย่าง
ดาบ ชินกุนโตไทป์ 95 เพื่อเป็นการซ่อนพรางอีกอย่างหนึ่ง
อีกรูปแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นของ
ดาบ ชินกุนโต ก็คือ ดาบสั้น หรือ วากิซาชิ ชินกุนโต จริงๆแล้วดาบฯรูปแบบนี้
ไม่มีในระเบียบของกองทัพ แต่อย่างใดครับ มันเริ่มที่ นายทหารบางคน สั่งตีขึ้นมาเอง
เพื่อให้เข้าคู่กับ เล่มยาวที่เป็นของระเบียบ ตามธรรมเนียมของดาบญี่ปุ่น แต่
กลายเป็นว่าพกพาสดวก และ คล่องตัว เมื่ออยู่ใน ยาน เกราะ หรือ
พกพาขึ้นเครื่องบินไปด้วย ในกรณีของนักบินจึงเป็น ที่นิยมในหมู่ของนักบินกันมากเนื่องจากสดวก
และ ไม่เกะกะใน ค๊อกพิท ที่พื้นที่น้อยอยู่แล้ว เมื่อนิยมใช้กันมากขึ้น
ทางกองทัพก็เลย เพิ่ม รูปแบบนี้เข้าไปซะเลย โดยได้มีการทำ ดาบ วากิซาชิ ชินกุนโต
ไทป์ 95 ที่เป็นของทหารชั้นประทวน และ ผลิตด้วยเครื่องจักรของโรงงาน
ขึ้นมาด้วยอีกแบบหนึ่ง โดยผลิตเป็นจำนวนไม่มากนัก
ในช่วงปลายสงคราม ในปี 1944-1945 ญี่ปุ่นประสบปัณหาเกี่ยวกับการผลิตอาวุธ
และ ขาดแคลนวัตถุดิบ อีกทั้ง เวลาก็ไม่มีพอที่จะ พิถีพิถันกับอะไรได้ อีกแล้ว
โรงงานผลิตอาวุธหลายแห่งถูกทิ้งระเบิด หลายพื้นที่ ถูกโจมตีทางอากาศอย่างหนัก
ทำให้อาวุธของญี่ปุ่น ในช่วงเวลานี้ถูกเร่งผลิต ออกมาอย่างรีบร้อน ดาบ
ชินกุนโตก็เช่นกัน อะไรที่ไม่จำเป็นถูกลดลงหมด ไม่ว่าจะเป็น
ใบดาบที่มาจากการตีของช่างตีดาบที่เป็นมนุษย์ เปลี่ยนมาใช้เครื่องจักร ปั๊ม
แผ่นเหล็ก ออกมาเป็นใบดาบ ฝักดาบก็เปลี่ยนจากมีอุปกรณ์ตกแต่ง เป็น
ฝักไม้เรียบๆมีโลหะโล้นๆครอบที่ปลายฝัก และ ด้ามดาบ
แทนที่จะเป็นไหมพันบิดสลับซ้ายขวาไปทั้งด้าม เปลี่ยนมาเป็น
ไหมพันบิดสลับซ้ายขวาช่วงต้น และ พันตรงๆ ที่กลางด้าม จากนั้นจึงเริ่มบิดสลับอีกครั้ง
ครอบโลหะที่ปลายด้ามก็เป็นโลหะโล้นๆเหมือนครอบปลาบฝัก แต่ เจาะรูเพื่อให้ร้อยสาย
ยศ ได้ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดาบ ชินกุนโต มีคุณภาพต่ำสุด และ เป็นจุดตกต่ำสุดของ
วงการดาบ ญี่ปุ่น
(จริงๆในวงการดาบญี่ปุ่นนั้นได้คิดว่าดาบญี่ปุ่นตกต่ำลงไปแล้วเมื่อได้มีการเอาดาบไปเข้าฟอร์มทหาร
ในยุคที่ผ่านๆมา รวมทั้งเรื่องราวของเหตุการณ์ในจีน จนบางสำนักตีดาบ
ปฏิเสธที่จะตีดาบให้หากจะนำไปเข้าฟอร์มทหารด้วยซ้ำ)
ดาบไร้คุณภาพเหล่านี้ถูกแจกจ่ายอย่างเร่งรีบไปตามที่ต่างๆ
ที่มีทหารญี่ปุ่นประจำการอยู่ (ไมแปลกหรแกที่จะมีบางครั้งที่เมื่อลองดวลกับ ดาบ
จีน หรือ ดาบไทย ดีๆ แล้วดาบญี่ปุ่นจะหักคามือ หรือ คมแตก และ บิ่น)
คุณภาพของใบดาบพวกนี้ ไม่ต่างกับ ดาบทหารม้าสมัยใหม่ หรือ ดาบปลายปืน ที่แจกทพลหาร
ดาบ ชินกุนโต ไทป์ 95 ที่เป็นของ ทหารชั้นประทวนก็เช่นกัน
เรื่องใบดาบไม่ต้องพูดถึงมันไม่มีคุณภาพอยู่แล้ว แต่
คราวนี้ถูกลดคุณภาพของอุปกรณ์ต่างๆของดาบลงด้วย เช่น ด้ามจากที่เคยเป็น ทองแดง
ก็ถูกลดมาเป็น อลูมินั่มถูกๆ ในขั้นแรก จากนั้นก็ ถูกลดลงมาเป็นไม้ แกะลายกันลื่นอย่างหยาบๆ
ดาบฯบางเล่มไม่ลง แล็กเกอร์ เลยด้วยซ้ำไป โล่มือ หรือ ซึบะ ก็เปลี่ยนจาก ทองเหลือง
ที่มีลวดลาย มาเป็น แผ่นเหล็กกลมๆ บางๆ แทน
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นส่งทหารออกไปตามพื้นที่ยึดครอง
ต่างๆในแปซิฟิก หลายล้านนาย ที่เป็นนายทหาร ก็เป็นหลัก แสน อยู่ ดาบ ชินกุนโต
ที่ติดไปกับนายทหารเหล่านี้ จึงมีคละๆกันไป ไม่ว่าจะเป็น ดาบ ตี ทั้ง ฝีมือดี และ ด้อยฝีมือ
อีกทั้งยังมีดาบ ผลิตจากเครื่องจักร อีกด้วย เพราะบางคนไม่ได้สนใจอะไร
ได้มาอย่างไร ก็ เอาออกรบอย่างนั้น บ้างก็ เอาของดีเก็บไว้ แล้ว ออกสนามด้วย
ดาบฯแจก อะไร ทำนองนี้ ดังนั้น เมื่อญี่ปุ่น แพ้สงคราม และ มีการวางอาวุธของนายทหารญี่ปุ่น
ที่ได้วางดาบไว้เป็นกองใหญ่ๆในกองดาบ เหล่านั้นจึงมี คละกันไปทั้ง ดาบ ตี ที่ ดี
ปลากลาง และ ไม่ดี รวมไปถึงดาบฯปั๊มจากโรงงาน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ ในยุคสมัยปัจจุบัน
ผู้ที่ไม่รู้ลึกๆจริงๆถึง ถกเถียงกันไม่จบสินเสียทีว่า ตกลง ดาบ ชินกุนโต
นั้นเป็นดาบที่มีคุณภาพจริงๆหรือไม่ เป็นดาบ โงงาน หรือ ดาบตี และ
ไม่รู้ว่าตีแบบใด การตั้งราคา และ ตีค่าของดาบ จึงไม่มี บรรทัดฐาน
หลายคนจึงตั้งสูงกว่าค่าที่ควรจะเป็น เพราะคิดว่าเป็นแบบเดียวกับเล่มที่ เป็น
ดาบตี ทั้งๆที่เป็นดาบโรงงาน (ดูไม่เป็น) บ้างก็ไม่รู้ค่า เอา ดาบตี คุณภาพดีๆ(แบบที่
4-5) ไปขายถูกๆ เพราะต้องการเงินด่วน บ้างก็ดูเป็นแบบครึ่งๆกลางๆ
ดูเป็นแค่ว่าดาบตี (แต่ไม่ณุ้ว่ามีวิธีตีที่ต่างกันอย่างไรบ้าง) ก็ ตั้งราคา
ซะสูงลิ่ว ทั้งๆที่เป็นดาบตี จากช่างไร้ฝีมือ ที่ใช้วิธีตี แบบกลางๆ (แบบ2-3)
เพราะเห็น ว่าอีกเล่มขายได้เป็นแสน (ก็เล่มนั้นเค้าเป็นดาบเก่าของตระกูล หรือไม่ก็
ดาบตีวิธีดีๆ อย่าง แบบที่ 4-5 นี่ครับ) อีกทั้งยังมีการ เปรียบเทียบกันระหว่า
ดาบญี่ปุ่น กับ ดาบ ของชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะ ดาบ ไทย ดาบจีน หรือ ดาวุธต่างๆ
ของท้องถิ่นที่ญี่ปุ่นเข้าไปยึดครอง โดย หลายๆครั้งใช้ ดาบ ชินกุนโต
ที่ไม่ใช่ดาบตี หรือ เป็นดาบตี ที่ตีในวิธีที่ ไม่ได้มีคุณภาพดีอะไรนัก
ทำให้ผลออกมากลายเป็นว่าดาบญี่ปุ่นไม่ได้ดีไปกว่าที่เลื่องลือกัน เรื่องอะไรอะไรทำนองนี้
เกิดขึ้นมาก ประกอบกับ ผู้รู้ลึกจริงๆถึงความหลากหลายของ ดาบ ชินกุนโต หาได้น้อย
จึงกลายเป็นการส่งต่อความรู้ผิดๆ ให้คนรุ่นใหม่จนกลายเป็นเรื่องถกเถียงกันไม่รู้จบ
ดั้งนั้นเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ
ที่ต้องการเก็บ ดาบ ชินกุนโต ไว้สักเล่ม ถ้าไม่คิดอะไรมาก
ว่าจะต้องเป็นของเก่าแท้ๆ เพียงแค่ต้องการประกอบกับชุดทหารญี่ปุ่นที่สะสมไว้ หรือ
แค่ตั้งโชว์ ผม แนะนำให้เล่น รีโปรฯ ดีกว่าครับ เพราะ งานหลายเจ้าทำออกมาได้ สวย
และ ถูกต้อง ในราคาที่มีมาตรฐาน กล่าวคือ ที่เป็นดาบ ตี ก็ รู้ไปเลยว่าตีแบบใด
ราคาก็สูงต่ำไปตาม รูปแบบที่ตี ที่เป็น สแตนเลทสตีล ราคาก็ต่ำลงมาสมน้ำสมเนื้อ
(ใช้เป็นดาบโรงงานไง) ที่เป็น โลหะไดแคส (ไม่ใช่เหล็กจริง และ ไม่คม) ก็ใช้เข้ากับชุด
และ ตั้งโชว์ได้อย่างมาอายใคร อีกทั้งมีหลายเจ้า หลาย ประเทศที่ทำออกมา ตั้งแต่
งานจากจีน ทั้งงานไม่สวย งานปลากลาง และ งานดี ดาบฯตี จากจีนไต้หวันก็มีนะครับ
งานดีไม่แพ้ญี่ปุ่นเลย ที่เป็น ฝรั่งทำ งานก็ดูดีถูกต้อง
มีติแค่สีที่ยังเพี้ยนๆอยู่ หรือ แม้แต่ ของคนไทยเราทำ ที่สงออกไปขายถึงต่างประเทศ
งานสวย งานถูกต้อง กว่าของหลายประเทศซะอีก ซ้ำยังเป็นดาบตี ที่เลือกได้ด้วยว่า
จะเอาวิธีตีแบบใด ที่สำคัญ ทำในบ้านเราเองไม่ต้องรอส่งจากต่างประเทศ เล่นงานรีโปรฯ
งานดีๆ แบบนี้สบายใจกว่าครับ เราได้ของคุณภาพในราคาที่สมกับที่เราจ่ายไป ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกหลอก
ขอบคุณข้อมูลจาก
1. The craft of the Japanese sword by Yoshindo Yoshihara
2. The Samurai Sword A Handbook by John M. Yumoto
3. Osprey The Japanese Army 1931-45 /1,2
4. สงคราม จีน – ญี่ปุ่น มหาสงครามยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย โดย ปิยะโชค ถาวรมาศ
5. บันทึกความทรงจำของ
นายพล อาเคโตะ นากามุระ ผู้บัญชาการชาวพุทธ
6. www.Google.com
ภาพประกอบ
ขั้นตอนการ เตรียมเหล็ก
การขึ้นรูปเหล็ก ในรูปแบบของการตีพับ และ สอดใส้
เหล็กที่สอดใส้ แล้วเตรียมขึ้นรูปต่อไป
ขั้นตอนการเตรียมเหล็ก ในการตีดาบ แบบ 3 ชิ้น และ ภาพตัดขวางของแบบสอดใส้
ภาพตัดขวางของดาบ แบบ สอดใส้
ภาพตัดขวางของดาบ แบบ 3 ชิ้น
ดาบ เมื่อขึ้นรูปแล้ว แต่ ยังไม่ผ่านกรรมวิธีชุบแข็ง
ขั้นตอนการทำฮามอน
ลาย ฮามอนแบบต่างๆ
การทำฮามอนที่หัวดาบ และ เล่นลายที่คมดาบ ซึ่งจะส่งผลต่อความแกร่งของคมด้วย
อุณภูมิที่เหมาะสมในแต่ละบริเวณของดาบ ก่อนชุบแข็ง
ใบดาบที่ถูกตีขึ้นมาในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2
อีกรูปแบบของดาบในช่วงสงคราม ที่น้อยนักจะมีงานดีๆแบบนี้ออกมา
ภาพตัดขวาง แสดง ให้เห็นถึงดาบในแต่ละประเภท
ซึบะ หรือ โล่มือ รูปแบบมาตรฐาน
ซึบะ หลากหลายรูปแบบ เพราะ ต่างที่มา จาก โรงงานต่างๆ และ ปีที่ผลิต
ส่วนประกอบของด้าม ดาบ
ชินกุนโต ที่มีรายละเอียดที่ต่างกันเล็กน้อย เช่น เล่มที่ 2 จะตรงกว่า สีของฝัก และ ด้ายพันด้ามที่ต่างกัน ในขณะที่ เล่มสุดท้ายทีฝักที่ไม่เหมือนแบบมาตรฐาน ด้ามยังสั้นยาวไม่เท่ากัน อันเนื่องมาจาก ไม่ได้มาจากแหล่งผลิตเดียวกัน ดังที่กล่าวไว้ในบทความ
อีกรูปแบบของการหุ้มฝักด้วยหนัง
ชินกุนโต ไทป์ 95 ของทหารชั้นประทวน
ชินกุนโตขนาดใหญ่ (ดาบโนดาจิ) เล่มนี้ขาดว่าจะไม่ได้ใช้จริงๆในสงครามโลก อาจเป็นการทำขึ้นเพื่อเป็นสัญญาลักษณ์มากกว่า
ชินกุนโต ไทป์ 95 แบบ สั้น (ดาบวากิซาชิ) ที่ผลิตออกมาน้อย (ในภาพเป็นของรีโปรฯ)
ดาบชินกุนโต ไทป์ 95 ทุกเล่มจะมี ซีรีย์นัมเบอร์เป็น เลขอาราบิคและ อักษรอังกฤษ ประทับไว้ในบริเวณโคนใบดาบ และ ปลายฝัก ซึ่งจะเลขจะตรงกันหากเป็นดาบเล่มเดียวกัน
วิธีการหุ้มหนัง ฝักดาบ
จะเว้นช่องให้ หูหิ้วโผล่อออกมาได้
ตรงกลางคือ หนังที่ใช้หุ้มด้ามดาบ
ดาบตีในช่วงสงครามฯ ที่ มีการสลัก ชื่อ สกุลช่าง และ เดือน กับ ปี ที่ผลิต
จากนั้น สงให้ กองทัพ ตอก หมายเลข ตามระเบียบของกองทัพ
ข้าบนทั้งหมดคือ ลักษณะต่างๆของรายละเอียดของ ชินกุนโต ไทป์ 94 ที่เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด
ปลายด้ามดาบ ชองชินกุนโต เลท 1944 ซึ่งเป็นช่วงปลายสงคราม ที่ไม่มีเวลาบรรจงอะไรมากนักในการผลิตดาบ
ชินกุนโต ไทป์ 95 ในรูปแบบที่ต่างกัน
ความแตกต่างของ ชินกุนโต ไทป์-94 และ ไทป์-95 ที่เป็นของทหาร สัญญาบัตร และ ประทวน
ด้ามของ ชินกุนโต แบบ เลท 1944 สังเกตุว่าความประนีตจะลดลงไปมาก
ไทป์-95 สังเกตุ สามเล่มล่างจะเป็น รุ่น กลาง ที่เริ่มใช้ ซึบะ ที่เป็นแผ่นเหล็กกลมๆ ต่างจาก สองเล่มบน ที่เป็น ซึบะ แบบมีลวดลาย และ ลวดลายนูนสูง ที่ด้ามก็ต่างกันด้วย
เลข ซีรีย์ นัมเบอร์ ที่ใบดาบ และ ปลายฝัก
ดาบนายทหาร ที่มีความแตกต่างในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เช่น รูปแบบ และ สีสัน เล่มบน คือ ชินกุนโต รุ่น เลท 1944 ที่ถูกลดทอนรายละเอียดลงไป เนื่องจากความขาดแคลน ทรัพยากร และ เวลาที่จะกัดในช่วงปลายสงคราม
ภาพประกอบ
ขั้นตอนการ เตรียมเหล็ก
การขึ้นรูปเหล็ก ในรูปแบบของการตีพับ และ สอดใส้
เหล็กที่สอดใส้ แล้วเตรียมขึ้นรูปต่อไป
ขั้นตอนการเตรียมเหล็ก ในการตีดาบ แบบ 3 ชิ้น และ ภาพตัดขวางของแบบสอดใส้
ภาพตัดขวางของดาบ แบบ สอดใส้
ภาพตัดขวางของดาบ แบบ 3 ชิ้น
ดาบ เมื่อขึ้นรูปแล้ว แต่ ยังไม่ผ่านกรรมวิธีชุบแข็ง
ขั้นตอนการทำฮามอน
ลาย ฮามอนแบบต่างๆ
การทำฮามอนที่หัวดาบ และ เล่นลายที่คมดาบ ซึ่งจะส่งผลต่อความแกร่งของคมด้วย
อุณภูมิที่เหมาะสมในแต่ละบริเวณของดาบ ก่อนชุบแข็ง
ใบดาบที่ถูกตีขึ้นมาในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2
อีกรูปแบบของดาบในช่วงสงคราม ที่น้อยนักจะมีงานดีๆแบบนี้ออกมา
ภาพตัดขวาง แสดง ให้เห็นถึงดาบในแต่ละประเภท
ซึบะ หรือ โล่มือ รูปแบบมาตรฐาน
ซึบะ หลากหลายรูปแบบ เพราะ ต่างที่มา จาก โรงงานต่างๆ และ ปีที่ผลิต
ส่วนประกอบของด้าม ดาบ
ชินกุนโต ที่มีรายละเอียดที่ต่างกันเล็กน้อย เช่น เล่มที่ 2 จะตรงกว่า สีของฝัก และ ด้ายพันด้ามที่ต่างกัน ในขณะที่ เล่มสุดท้ายทีฝักที่ไม่เหมือนแบบมาตรฐาน ด้ามยังสั้นยาวไม่เท่ากัน อันเนื่องมาจาก ไม่ได้มาจากแหล่งผลิตเดียวกัน ดังที่กล่าวไว้ในบทความ
อีกรูปแบบของการหุ้มฝักด้วยหนัง
ฝักดาบที่เป็นแบบปลายสงคราม แต่ตัวดาบยังเป้น แบบ ไทป์ 94 อยู่
ชินกุนโตขนาดใหญ่ (ดาบโนดาจิ) เล่มนี้ขาดว่าจะไม่ได้ใช้จริงๆในสงครามโลก อาจเป็นการทำขึ้นเพื่อเป็นสัญญาลักษณ์มากกว่า
ชินกุนโต ไทป์ 95 แบบ สั้น (ดาบวากิซาชิ) ที่ผลิตออกมาน้อย (ในภาพเป็นของรีโปรฯ)
ดาบชินกุนโต ไทป์ 95 ทุกเล่มจะมี ซีรีย์นัมเบอร์เป็น เลขอาราบิคและ อักษรอังกฤษ ประทับไว้ในบริเวณโคนใบดาบ และ ปลายฝัก ซึ่งจะเลขจะตรงกันหากเป็นดาบเล่มเดียวกัน
วิธีการหุ้มหนัง ฝักดาบ
จะเว้นช่องให้ หูหิ้วโผล่อออกมาได้
ตรงกลางคือ หนังที่ใช้หุ้มด้ามดาบ
ดาบตีในช่วงสงครามฯ ที่ มีการสลัก ชื่อ สกุลช่าง และ เดือน กับ ปี ที่ผลิต
จากนั้น สงให้ กองทัพ ตอก หมายเลข ตามระเบียบของกองทัพ
ข้าบนทั้งหมดคือ ลักษณะต่างๆของรายละเอียดของ ชินกุนโต ไทป์ 94 ที่เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด
ปลายด้ามดาบ ชองชินกุนโต เลท 1944 ซึ่งเป็นช่วงปลายสงคราม ที่ไม่มีเวลาบรรจงอะไรมากนักในการผลิตดาบ
ชินกุนโต ไทป์ 95 ในรูปแบบที่ต่างกัน
ความแตกต่างของ ชินกุนโต ไทป์-94 และ ไทป์-95 ที่เป็นของทหาร สัญญาบัตร และ ประทวน
ด้ามของ ชินกุนโต แบบ เลท 1944 สังเกตุว่าความประนีตจะลดลงไปมาก
ไทป์-95 สังเกตุ สามเล่มล่างจะเป็น รุ่น กลาง ที่เริ่มใช้ ซึบะ ที่เป็นแผ่นเหล็กกลมๆ ต่างจาก สองเล่มบน ที่เป็น ซึบะ แบบมีลวดลาย และ ลวดลายนูนสูง ที่ด้ามก็ต่างกันด้วย
เลข ซีรีย์ นัมเบอร์ ที่ใบดาบ และ ปลายฝัก
ดาบนายทหาร ที่มีความแตกต่างในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เช่น รูปแบบ และ สีสัน เล่มบน คือ ชินกุนโต รุ่น เลท 1944 ที่ถูกลดทอนรายละเอียดลงไป เนื่องจากความขาดแคลน ทรัพยากร และ เวลาที่จะกัดในช่วงปลายสงคราม